เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ปกติเราชาวพุทธ วันพระวันเจ้าเราก็ทำบุญของเราอยู่แล้ว วันนี้เป็นวันสารท เป็นวันที่ว่าทำบุญแล้วจะได้บุญมาก คำว่าได้บุญมากหมายความว่า เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลไป ผู้ที่ได้รับส่วนกุศลเหมือนนัดกัน เวลาเราไปเที่ยว เห็นไหม ถ้าเราไปคนเดียวมันก็ไปประสาเรา แต่ถ้ามันไปในงาน คนจะมาก คนจะมีความสนุกครึกครื้น
นี่ก็เหมือนกัน เป็นสารท เป็นนักขัตฤกษ์ เวลาทำบุญกุศลไป เราอุทิศส่วนกุศลของเราไป อุทิศส่วนกุศลของเราไปบุญกุศลมันอยู่ที่ไหน? บุญกุศลมันอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิด ใจถึงใจ บุญกุศล นี่ใจ เห็นไหม เวลาความสุขความทุกข์ ใจมันรับรู้ก่อน
ฉะนั้น สิ่งที่เวลาเขาสิ้นชีวิตไปเขาจะรับรู้สิ่งนี้ แต่ถ้าคนมีบุญกุศลของเขา เขาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมของเขา นี่สิ่งที่เขาได้รับนั้นมันละเอียดกว่า มันละเอียดกว่า มันมีคุณภาพมากกว่า เขาก็ดูแต่น้ำใจเรา ความเป็นน้ำใจของเรานะ เรามีน้ำใจของเรา คนมีน้ำใจต่อกัน ไปอยู่ที่ไหนมันก็มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข คนถ้าไม่มีน้ำใจต่อกัน มันมีแต่ความขัดแย้งไปทั้งนั้นแหละ นี้พูดถึงความขัดแย้งที่เรามองเห็นนะ แต่เวลาเราทำบุญกุศลของเรา เห็นไหม เราปรารถนาดี เราหวังดี เราทำเพื่อคุณประโยชน์กับเรา
ความปรารถนาดีใครๆ ก็ต้องการทั้งนั้นแหละ เวลาสบตากัน คนที่ปรารถนาดีเรามองแล้วเราซาบซึ้งใจนะ ไม่ต้องให้ช่วยเหลือเราหรอก เพียงแต่เขาเห็นน้ำใจเราเราก็พอใจแล้ว แต่เวลาเราทุกข์เรายากไม่มีใครมองเราเลย เรามีแต่ความทุกข์ความยากของเรานะ นี่เพราะอะไร? เพราะขาดทาน ศีล ภาวนา ใครทำสิ่งใดไว้จะได้รับสิ่งนั้น เราไม่เคยทำของเรา เราก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ นี่เรามีน้ำใจ เรามีสิ่งใดเราก็มีขันติ มีความอดทนของเรา พยายามแสวงหาของเรา เพราะเราทำของเรามาอย่างนี้
นี่เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เวลาสร้างบุญกุศลเรามองเห็นกันได้ง่ายๆ โลกเขาทำกัน เขาหล่อพระๆ หล่อพระนะเขาก็ต้องหาช่าง เขาต้องหาวัสดุ เขาต้องมีความพร้อมของเขาเขาถึงหล่อพระของเขาได้ เขาก็ว่ามันเป็นความลำบากลำบนของเขานะ หล่อพระทุกคนก็เห็นเป็นวัตถุ ทุกคนก็จับต้องได้ ทุกคนก็อยากไปทำบุญกุศล แต่พระในใจ พระของเรา ถ้าเราจะหล่อ เราจะสร้างพระของเราขึ้นมาในหัวใจของเรา นี่ถ้าเราไม่มีความเชื่อมันจะเป็นไปได้อย่างไร? นรกสวรรค์ไม่มีหรอก เกิดมาตายแล้วก็สูญ เขียนเสือให้วัวกลัว ให้เราแสวงหาผลประโยชน์กัน เขาคิดของเขาไปไง
เขียนเสือให้วัวกลัว นี่สิ่งที่มันไม่มี เวลาเราช่วยเหลือเจือจานกันมันไม่มีหรือ? น้ำจิตน้ำใจมันไม่มีหรือ? มันมีทั้งนั้นแหละ แล้วความรู้สึกมันไม่มีหรือ? มันก็มี แล้วเวลาเราตายไปความรู้สึกมันตายไหม? ถ้าความรู้สึกมันตายแล้วมันจบไปเลย ในปัจจุบันนี้เราต้องควบคุมมันได้สิ ทำไมเราควบคุมสิ่งใดไม่ได้เลยล่ะ? มันเป็นจริตนิสัย เพราะเราสร้างสิ่งใดมา
นิสัยของเรา สิ่งใดถ้าตรงจริตตรงนิสัยของเรา เราว่าสิ่งนั้นดี ถึงเราจะหยาบขนาดไหน มันตรงกับจริตของเรา ของหยาบๆ ที่เราสัมผัสได้เราว่าดี ถ้าเราละเอียดขึ้นไปมันรับรู้ไม่ได้ ละเอียดขึ้นไปเราก็ไม่รู้แล้วสิ่งที่เขาละเอียด ดูสิเวลาพ่อแม่เขาผ่านโลก ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน เขาก็เห็นว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร แต่เด็กไง ดูสิดอกไม้แรกแย้มนะ ดอกไม้แรกแย้มมันสวยงามทั้งนั้นแหละ เพราะอะไร? เพราะมันเพิ่งแรกแย้มไง
นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตวัยรุ่นไง ชีวิตเราเพิ่งเติบโตมา เราก็ว่าโลกนี้มันสวยงามไปหมดเลย แต่คนที่เขาผ่านร้านผ่านหนาวมา เห็นไหม ดูสิโลกนี้ถ้าคนมีปัญญานะ คนมีสติปัญญาเขาจะเอาตัวเขารอดได้ ถ้าคนไม่มีสติปัญญา ต่อไปอนาคตลูกเราจะลำบากลำบน นี่พ่อแม่วิตกกังวลไปหมดเลย แต่เวลาเด็กมันมอง โอ้โฮ มันสวยงามไปหมดเลย
แต่ถ้าเป็นเรื่องของธรรมะ เห็นไหม กบในกะลา ถ้ามันอยู่ในกะลามันว่ามันเก่งทั้งนั้นแหละ ถ้าอยู่ในกะลานะ อู้ฮู โลกนี้เขาว่ากว้างใหญ่ไพศาลนัก ก็แค่นี้เอง ก็แค่นี้เอง ก็มันอยู่ในกะลาไง ลองมันเปิดกะลามาสิ โอ้โฮ มันแสนกว้างขวางขนาดนี้เนาะ เวลาอยู่ในบึงมันก็ว่าบึงนี้ใหญ่แล้ว ลงไปแม่น้ำ แม่น้ำก็ยังกว้างขวาง ลงไปทะเลนี่โอ๋ย มันไปไม่มีสุดขอบเขตเลย ถ้ามันผ่านร้อนผ่านหนาวมา มันจะเข้าใจของมันอย่างนั้น
ฉะนั้น เวลาเขาสร้างพระจากภายนอกมันก็แสนยากแสนลำบากของเขา เขาว่าสิ่งนี้ลำบาก แต่วัตถุที่มันลำบากขนาดไหนเขาก็ช่วยเหลือเจือจานกัน แสวงหามาเพื่อสิ่งนั้นได้ แต่ถ้าเป็นใจของเรา เราสร้างพระในใจของเรา ถ้าเราสร้างพระในใจของเราได้ สิ่งนี้สำคัญมาก เราถึงมาสร้างกัน ทำทาน รักษาศีล ภาวนาของเรา ทำทานของเราให้จิตใจมันเปิดกว้าง เปิดกว้างเพราะเหตุใด? เปิดกว้างเพราะเรารู้อยู่แล้ว
นี่เวลาเราอยู่ในสังคม เห็นไหม สังคมมีแต่การแข่งขันมาตลอดทั้งนั้นแหละ เราก็ต้องแข่งขันไปกับเขา เพราะมีการแข่งขัน นี่เพราะมีการแข่งขันโลกนี้มันถึงเจริญ โลกนี้มันไม่คงที่ของมัน มันต้องมีการแข่งขัน แข่งขันด้วยปัญญา แข่งขันด้วยสติปัญญาของเรา แต่อำนาจวาสนาของคนอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าอำนาจวาสนาของคนนะ เขาทำสิ่งใดเขาประสบความสำเร็จของเขา ถ้าเขามีอำนาจวาสนานะ เวลาเขาทำนี่ความคิดเขาดีมาก ปัญญาเขาดีมาก แต่ทำไมเขาทำอะไรถึงไม่ประสบความสำเร็จเลย นั่นมันเรื่องเวรเรื่องกรรม
แต่ถ้าเราเข้าใจสิ่งนี้ เราศึกษาธรรมะแล้วเราไม่น้อยเนื้อต่ำใจ เราทำของเรา เราพยายามทำของเรา ถ้าทำของเรา เห็นไหม ถ้ามันละเอียดเข้ามา ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีศีลของเรา ศีลคือความปกติของใจ ความปกติมันคืออะไรล่ะ? ความปกติคือมันอิ่มใจ คนที่มันขาดแคลน คนที่มันต้องการ คนที่พร่องอยู่เขาต้องหามาเติมของเขา นี่คนที่มันขาดแคลน ที่ไหนมันก็เดือดร้อนไปหมด แต่ถ้าคนที่มันอิ่มเต็ม เราไม่เดือดร้อนไง พอไม่เดือดร้อนมันเป็นปกติ เราไม่ตื่นเต้นไปกับโลก โลกจะมีอะไรที่เขาแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขนาดไหนมันก็ไม่ตื่นเต้นไปกับเขา แล้วไม่ตื่นเต้นแล้วไปทำไมล่ะ?
ไม่ตื่นเต้นนะ อยู่ในสังคมไง อยู่ในสังคมเราก็ไปกับเขา อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก นี่ความปกติของใจ แล้วเกิดถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา นี่มีศีลความปกติของใจแล้วถ้าจิตมันสงบเข้ามา นี่ไม่ตื่นเต้นนะ ไม่ตื่นเต้นไปกับเขาเพราะมันเป็นความปกติของมัน แต่ถ้ามันสงบเข้ามามันมหัศจรรย์ เพราะมันวางแล้วมันหดตัวเข้ามา หดตัวมันเป็นอิสระของมัน ถ้าเป็นอิสระของมัน เห็นไหม นี่เราจะสร้างพระในใจ เวลาเขาหล่อพระกันนะ นี่เขาสร้างวัตถุ สร้างวัดสร้างวา เราต้องหาช่าง หาวัตถุก่อสร้าง หาต่างๆ ขึ้นมา สร้างขึ้นมาเป็นวัดเป็นวาขึ้นมา เพื่อเป็นที่พักอาศัย
นี่ถ้าจิตของเรา เวลากำหนดพุทโธของเรา ภาวนาของเรา ถ้ามันสงบเข้ามา เรามีศีล มีสมาธิ แล้วเราเกิดปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะสร้างพระในใจ มันต้องมีเครื่องมือมีอุปกรณ์ของมันในการสร้างพระในใจขึ้นมา พอจิตมันสงบเข้ามา ดูสิเวลาเราขาดแคลนขึ้นมา เราจะสร้างพระของเรา เราไม่มีสิ่งใดเลยเราก็จะเอาอะไรมาสร้าง เอาอะไรมาสร้าง เวลาเขาจะสร้างของเขานะเขาต้องหาวัสดุของเขา เขาหาทองแดงหาทองเหลืองของเขา เขาจะมาหล่อหลอมของเขา
นี่ก็เหมือนกัน เรามีศีล สมาธิ มีปัญญา ถ้าเรามีวัสดุขึ้นมา เออ เราพร้อมนะ เราพร้อม เราก็ภูมิใจใช่ไหม? คนที่มันขาดแคลน คนที่ไม่มี มันก็บกพร่องใช่ไหม คนที่มันมีขึ้นมามันก็อุ่นใจใช่ไหม? เราทำอะไรเราทำของเราได้ แล้วจะทำไหม? ถ้าไม่ทำนะไว้นั่นล่ะ เดี๋ยวโจรขโมยมันลักไปหมดนะ โจรขโมยมันลักไปหมดเพราะอะไร? เพราะมันขายได้ มันเอาไปเป็นประโยชน์ของเขาได้
นี่ศีล สมาธิ ปัญญาอยู่กับเรา ใครขโมยไป? กิเลสมันขโมยไปหมดนะ กิเลสมันขโมยไปเพราะอะไร? เพราะเดี๋ยวมันก็เสื่อมไง นี่มีสมาธิ วันนี้จิตใจดีมาก วันนี้จิตใจผ่องแผ้วหมดเลย เอ๊ะ วันต่อไปทำไมมันเฉาล่ะ? ทำไมมันหงอยล่ะ? อ้าว ก็มันดีๆ อยู่แล้วมันไปไหนล่ะ? นี่วัสดุของเราหายไปไหนหมดเลย จะสร้างพระๆ จะมาหล่อพระ แล้ววัสดุหายไปเอาอะไรมาหล่อล่ะ?
นี่เวลามันดีขึ้นมา...เดี๋ยวมันก็...เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด แม้แต่สมาธิ สมาธิก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ปัญญาเกิดขึ้นมาเดี๋ยวก็เฉลียวฉลาดมากเลย เวลามันอั้นตู้ขึ้นมานี่คิดอะไรไม่ออกเลย นี่กิเลสมันขโมยไปเกลี้ยงเลย แล้วเราจะเอาอะไรมาหล่อมาหลอมล่ะ? นี่ถ้าเรามีสติของเรา เห็นไหม เรามีสติ เรามีคำบริกรรมของเรา รักษาของเราไม่ให้ใครมาลักไป ไม่ให้กิเลสมาลักของเราไป เราจะหล่อพระของเราให้ได้ ถ้าเราหล่อพระในใจ เห็นไหม ใครจะหล่อให้เราล่ะ? มรรคญาณไง ความรู้สึกนึกคิดของเรามันจะหล่อขึ้นมา
นี่เวลาทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สัจจะ อริยสัจจะ สัจจะนี่เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วเอาแต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป เราเกิดมาเรามีจิตของเราเรามีใจของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเกิดมาพร้อมกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีอวิชชาขึ้นมาครอบคลุมหัวใจของเรา แล้วนี่เราพยายามจะหล่อของเรา เราจะใช้ศีล สมาธิ ปัญญาของเรา เพื่อการกระทำของเราขึ้นมา ให้มันเป็นสัจจะความจริงของเรา ให้เป็นมรรคญาณของเรา
เราทำหน้าที่การงานของเรา เราได้เงินได้ทองมาเราก็เอามาเก็บหอมรอบริบของเราไว้เป็นสมบัติของเรา นี่สมบัติของโลก ถ้าเราทำศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา เห็นไหม เราหาของเราขึ้นมาได้เป็นอุปกรณ์ ถ้าเราใช้เป็น เราบริหารจัดการเป็นมันก็จะเป็นมรรค มรรค ๔ ผล ๔ นี่อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันยังไม่ใช่นิพพาน ๑ เลย อรหัตตมรรค อรหัตตผลมันรวมลงแล้วมันถึงจะเป็นนิพพาน ๑ พอเป็นนิพพาน ๑ สิ่งที่เราหามาเราจะบริหารจัดการของเราอย่างไร?
ถ้าเราบริหารจัดการของเราอย่างไร นี่ไงสัจจะอันนี้จะเกิดกับเรา ถ้าสัจจะอันนี้จะเกิดกับเรา นี่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ มรรคส่วนตัวของเรา มรรคจากของเรา เราศึกษามาศึกษาจากชื่อของมันมา เราได้ชื่อมาหมดนะ พ่อแม่ยกมรดกให้ เซ็นมอบให้ แล้วมรดกอยู่ไหนหาไม่เจอ ได้มรดกมาแต่ไม่รู้ว่ามรดกมันอยู่ที่ไหน ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน นี่ถึงกับสิ้นจากทุกข์
นี่ได้มรดกตกทอดมา แต่หามรดกไม่เจอ ได้แต่ลายแทงมา ได้แต่ลายแทงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ธรรมวินัยนี่วางไว้มา แล้วหาสมบัติไม่เจอ นี่มรรค ผล นิพพานมันอยู่ที่ไหน? มรรค ผล นิพพานอยู่ที่ไหน? ดูพระธุดงค์เราสิ ออกไปวิเวก ออกเที่ยวธุดงค์ไปในป่า ในเขาไปทั่วเลย ค้นหาอะไร? ค้นหาใจของตัว จะหล่อพระในใจ จะหล่อพระขึ้นมาให้ได้ นี่ค้นหาขึ้นมาในหัวใจ ถ้าค้นขึ้นมาในใจมันเป็นมรรคของใครล่ะ? มันเป็นสมบัติของใครล่ะ?
นี่ได้มรดกตกทอดมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเรา เป็นครูเอกของโลก เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดมาแล้วเห็นภัยในวัฏสงสาร มาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จะสร้างพระในหัวใจของเรา นี่เกิดมาจากพ่อจากแม่มันก็มีชาติมีตระกูล นี่มันก็เป็นเรื่องโลก เราก็หาอยู่หากิน เราก็รักษาดูแล เราก็มีความกตัญญูกตเวที เราก็มีความเคารพพ่อแม่ของเรา นี่พระอรหันต์ในบ้าน
เราจะหล่อพระขึ้นมาในหัวใจของเรา เราจะหาพระอรหันต์แท้ๆ ของเราขึ้นมา จะหาพระอรหันต์ขึ้นมาจากหัวใจนี้ ถ้าหัวใจนี้มันได้หล่อขึ้นมา คนมันหล่อขึ้นมา ดูสิเวลาช่างเขาจะเททองนะ เขาจะมีเครื่องมือของเขาจับ เพราะเขาหลอมจนอุณหภูมิมันสูงมากจนวัตถุมันละลายหมด นี่ไปแตะเข้านะ ถ้าเทใส่ตัวก็ตายเลยแล้วกันแหละ เขาหล่อลงที่ไหนล่ะ? เขาหล่อลงที่แบบของเขา เขาไม่ใช่มาเทใส่ร่างกายของเรา
นี่ก็เหมือนกัน แต่เวลาทำของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาเกิดความสงบของใจ มันเกิดสมาธิขึ้นมา มันอบอุ่น มันมีความร่มเย็นเป็นสุข นี่ทำไมเราหล่อในกลางหัวใจล่ะ? เราหล่อจากภายในขึ้นมาล่ะ? แล้วมีศีล สมาธิ ปัญญา มีสติปัญญาอย่างไร? แล้วพิจารณาจัดการขึ้นมาอย่างไร? นี่มันเทลงไปที่ไหน? เททองลงไปที่ไหน?
นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสมันอยู่ในหัวใจนี่ควักมันออกมาอย่างไร? ควักออกมา คายมันออก นี่อวิชชาตัดมันทิ้งไป สังโยชน์ตัดมันขาดไป ถ้ามันขาดออกไปจากใจ ยิ่งขาดยิ่งทำลายยิ่งงอกงาม เห็นไหม ถ้าเราไปถนอมรักษา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส พอจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสไปรักษาผ่องใส ผ่องใสจะเอาอะไรรักษามัน จะดูแลอย่างไร เดี๋ยวฝุ่นมันก็เกาะนะ นี่ผ่องใสๆ เดี๋ยวมันจะเศร้าหมอง ผ่องใสๆ เดี๋ยวมันจะออกมา แล้วจะทำอย่างไร? นี่เราจะรักษาอย่างไร?
ถ้าทำลายมันทำลายให้หมด ทำลายไม่มีสิ่งใด ไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพ ไม่มีสถานที่ที่ให้ฝุ่นมันจับ ไม่มีสถานที่ให้มารมันติดตาม ไม่มีสถานที่ให้มัจจุราชมันเจอ มัจจุราชจะหาไม่เจอ ใครหาธรรมะนี้ไม่เจอ ต้องทำลายจนมัจจุราชมันก็ตามเราไม่ทัน เห็นไหม การทางโลกนี่สะสมได้ สะสมมาถึงได้ แต่ในการประพฤติปฏิบัติ นี่ทำลายแล้วมันถึงได้ ทำลายอวิชชา ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายทุกอย่างเลย แล้วมันเหลืออะไร? นักปฏิบัติกับนักปฏิบัติด้วยกันเขารู้ ทำลายแล้วมันเหลืออะไร? เหลือสมบัติของเราไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สมบัติมรดกตกทอด บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา เป็นพระเป็นเจ้า นี่พระพุทธเจ้ามอบมรดกเอาไว้ แล้วเราหามรดกไม่เจอ เราไปขุดค้นขึ้นมา หามรดกของเราเจอขึ้นมา เห็นไหม นี่หล่อพระในใจ เอวัง